13 เซตอาหารคู่ กินสู้ปัญหาสุขภาพ

13 เซตอาหารคู่ กินสู้ปัญหาสุขภาพ

 

13 เซตอาหารคู่ กินสู้ปัญหาสุขภาพ

 

 

 

       ถ้าเรากินดีอยู่ดี เราก็จะมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่สมบูรณ์แข็งแรง ซึ่งกินดีในทีนี้ก็หมายถึงการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนอยู่ให้ดีก็คือ การใช้ชีวิตอย่างถูกสุขอนามัย พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ที่สำคัญต้องทำใจให้สบายด้วย จะได้ดีคู่กันไปทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต และถ้าอยากจะเสริมความแข็งแรงให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับปัญหาสุขภาพทุกชนิดได้อย่างชิลๆ ก็ควรต้องเสริมกำลังร่างกายด้วยการกินอาหารมีประโยชน์ให้ถูกหลัก 

อย่าง 13 เซตอาหารคู่ต่อไปนี้ที่ iVillage เขาแนะนำมา ก็สามารถบำรุงร่างกายเราให้สมบูรณ์แข็งแรง แถมยังรวมพลังป้องกันโรคต่างๆ ให้ร่างกายเราได้อย่างดีเลยเชียวล่ะ

 

 

 

 

 

 

ชาเขียว+น้ำมะนาว : ป้องกันโรคหัวใจ

 

       ในชาเขียวมีสารแคทีซิน (catechin) ซึ่งมีฤิทธิ์เป็นสารต้านออกซิเดชัน ที่จับตัวกับอนุมูลอิสระ มีประโยชน์ในเรื่องช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ แต่จากผลการศึกษาปรากฏว่า ร่างกายของเราสามารถดูดซึมสารแคทีซินจากใบชาได้เพียง 20% เท่านั้น ต่อมานักวิทยาศาสตร์ก็ได้ลองผสมน้ำมะนาวลงไปในชาเขียว แล้วก็พบว่า สารแคทีซินในใบชา มีผลกับร่างกายเพิ่มขึ้นอีก 80% เชียวล่ะ

 

       ฉะนั้นหากอยากจะจิบชาเขียวในครั้งต่อไป ก็น่าจะลองบีบน้ำมะนาวลงไปผสมด้วยสัก 1 ลูก เพราะจากผลการวิจัยก็พิสูจน์แล้วว่า วิตามินซีในน้ำมะนาว จะช่วยเปิดโอกาสให้ร่างกายดูดซึมสารแคทีซินได้มากขึ้นนะจ๊ะ

 

 

 

 

 

 

บรอกโคลี + มะเขือเทศ : ต้านมะเร็ง

 

       ผักทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างก็มีสารช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งด้วยกันทั้งคู่ แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้มีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ออกมาเผยว่า หากกินผักทั้ง 2 ชนิดพร้อมๆ กัน จะเพิ่มพลังในการต้านเซลล์มะเร็งแบบทบทวีคูณ โดยปริมาณที่ควรได้รับผักทั้ง

2 ชนิดนี้เพื่อต้านเซลล์มะเร็งก็คือ บรอกโคลี 1 ½ ถ้วยตวง กับผลมะเขือเทศสด 2 ½ ถ้วยตวง หรือซอสมะเขือเทศ 1 ถ้วยตวงก็ได้ จะนำมาผัดผักรวมกัน หรือจะทำเมนูสปาเกตตีซอสมะเขือเทศใส่บรอกโคลีก็ได้จ้า

 

 

 

 

 

 

พริกหยวกแดง + ถั่วดำ : ฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน

 

       ในหมู่คนที่รับประทานมังสวิรัติหรือเจ จำเป็นต้องหาอาหารที่ให้ธาตุเหล็กและโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ ซึ่งในเนื้อสัตว์มีธาตุเหล็กฮีม (heme iron) หรือธาตุเหล็กประเภทที่ไปจับตัวกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือด ทำให้ร่างกายนำธาตุเหล็กไปใช้ได้ง่ายขึ้น แต่ธาตุเหล็กที่พบในผักและธัญพืช จะเป็นธาตุเหล็กชนิดที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ยาก นอกจากจะรับประทานพริกหยวกแดงในมื้ออาหารร่วมด้วย เพราะในพริกหยวกแดงมีวิตามินซีสูง สามารถเปลี่ยนธาตุเหล็กในถั่วดำและธัญพืชต่าง ๆ ให้เป็นชนิดที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่ายขึ้น ส่วนปริมาณวิตามิซีที่พอจะช่วยดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกายได้อย่างพอเพียงจะอยู่ที่

63 มิลลิกรัม หรือคิดง่ายๆ ก็คือรับประทานพริกหยวกแดงสับประมาณครึ่งถ้วยตวงต่อวันนั่นเองค่ะ

 

 

 

 

 

 

ไข่ + มะม่วงสุก : ชะลอริ้วรอยแห่งวัย

 

       ใครที่อยากจะสาวและสวยไม่สร่าง ต้องบำรุงร่างกายด้วยการกินมะม่วงสุกกับไข่แดงเป็นประจำ เพราะในไข่แดงมีกรดอะมิโนและธาตุอาหารที่สำคัญกับการเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ส่วนมะม่วงสุกก็เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี และไฟเบอร์ ที่ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย อีกทั้งวิตามินซียังจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายดูดซึมกรดอะมิโนที่สำคัญในไข่แดงให้ไปเสริมสร้างคอลลาเจนได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ดังนั้นลองทำเมนูไข่ม้วนกินคู่กับน้ำมะม่วงปั่นเป็นอาหารเช้าอาทิตย์ละ 3 วันเป็นอย่างต่ำก็ดีนะ ผิวพรรณจะได้เปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวลอยู่เสมอ

 

 

 

 

 

 

ชาเขียว + พริกไทยดำ : กระชับสัดส่วน

 

       หลายคนคงเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ในชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสารบางตัวที่สามารถเผาผลาญไขมันในร่างกายได้อีกด้วย ซึ่งสารที่ว่านั้นก็คือ EGCG (epigallocatechin-3-gallate) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยเผาผลาญแคลอรีในร่างกายได้มากถึง 130% ยืนยันด้วยผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสารเพื่อสุขภาพที่บอกว่า ผู้ที่ดื่มชาเขียวระหว่างมื้ออาหารจะรู้สึกอิ่มเร็วกว่า และไม่มีความอยากอาหารอื่นๆ อีกนอกจากอาหารจานหลัก แถมส่วนประกอบต่าง ๆ ในชาเขียว ยังมีผลต่อฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมความหิวและความอิ่มของร่างกายให้อยู่ในระดับคงที่ด้วย

 

       ส่วนพริกไทยดำเองก็มีสารไปเปอรีน ซึ่งมีความเผ็ดร้อน และกลิ่นฉุน สามารถยับยั้งการเกิดเซลล์ไขมันใหม่ในร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้นหากจะจิบชาในครั้งต่อไป ลองโรยพริกไทยดำป่นลงไปสักครึ่งช้อนชา เพื่อให้ความเผ็ดร้อนของพริกไทยดำ ช่วยกระตุ้นการดูดซึมสาร EGCG ในร่างกายให้ดีขึ้นก็ดีค่ะ

 

 

 

 

 

 

อะโวคาโด + ผักสลัด : ป้องกันรังสียูวี

 

       สารแคโรทีนอยด์ในผักใบเขียวทุกชนิด มีสรรพคุณช่วยลดอนุมูลอิสระที่เกิดจากการที่ผิวถูกแสงแดดทำลาย และสามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีได้อย่างดีเยี่ยม แต่ลำพังแค่กินผักใบเขียวเดี่ยวๆ ร่างกายก็อาจจะได้รับสารแคโรทีนอยด์ไม่ค่อยเต็มที่เท่าที่ควร ฉะนั้นเราก็ควรรับประทานอะโวคาโดร่วมด้วย เพื่ออาศัยสารอาหารในอะโวคาโดช่วยดูดซึมสารแคโรทีนอยด์เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

 

       โดยล่าสุดก็มีผลการวิจัยจากรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกาออกมายืนยันด้วยผลการทดลองที่พบว่า คนที่กินอะโวคาโดร่วมกับผักสลัด จะสามารถรับสารแคโรทีนอยด์ได้มากกว่าคนที่กินผักใบเขียวอย่างเดียวถึง 15 เท่า อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ก็คือ สารแคโรทีนอยด์จำเป็นต้องอาศัยไขมันอิ่มตัวชนิดดี เพื่อเปลี่ยนสภาพให้ร่างกายดูดซึมเข้าไปได้ดีขึ้น ซึ่งอะโวคาโดก็เป็นผลไม้ที่มีไขมันอิ่มตัวชนิดดีอยู่พอสมควร และเพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายได้รับสารแคโรทีนอยด์ในปริมาณที่ควรจะได้ ก็ต้องผสมอะโวคาโดครึ่งผลลงในสลัดผัก หรือจะผสมลงในน้ำสลัดก็ได้ค่ะ

 

 

 

 

 

 

โยเกิร์ต + ซีเรียลรำข้าว : ช่วยระบบย่อยอาหาร

 

       ถ้าได้อาหารทั้ง 2 อย่างนี้เป็นมื้อเช้า จะช่วยทั้งเรื่องระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายของร่างกายได้เป็นอย่างดี ด้วยเพราะในโยเกิร์ตมีแบคทีเรียชนิดดี และโพรไบโอติกส์ที่ดีต่อลำไส้ และระบบย่อยอาหาร อีกทั้งเมื่อนำมาทานคู่กันกับซีเรียลรำข้าวก็จะช่วยเสริมโพรไบโอติกส์ให้ร่างกายได้อีก 1 เท่า เนื่องจากในซีเรียลรำข้าวมีสารพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) ซึ่งจะทำหน้าที่คล้ายสารอาหาร ช่วยให้โพรไบโอติกส์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง ส่วนมื้อเช้าที่เหมาะสมกับการช่วยย่อยอาหาร ควรจะกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่มีโพรไบโอติกส์ 1 ถ้วยตวง ใส่ซีเรียลรำข้าวลงไปประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ

 

 

 

 

 

 

แอปปริคอท + อัลมอนด์ : ดักไขมันให้โทษ

 

       ไขมันชนิดเลว หรือ ไขมัน LDL เป็นโทษต่อร่างกายอย่างมาก หากร่างกายสะสมไขมันชนิดนี้เกินไปก็เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ และไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ง่ายๆ เลยทีเดียว แต่การวิจัยของสถาบันเพื่อสุขภาพนานาชาติได้ออกมาเผยว่า เราสามารถรับประทานแอปปริคอท และอัลมอนด์เพื่อช่วยดักจับไขมันชนิดให้โทษแก่ร่างกายได้ เพราะสารอาหารในแอปปริคอท และอัลมอนด์จะทำปฏิกิริยากับไขมันชนิดเลวทันที เมื่อไปจับตัวกับสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในร่างกาย ทำให้ไขมัน LDL ไม่สามารถเกาะจับเส้นเลือดได้เหมือนเดิม อีกทั้งวิตามินซี และวิตามินอี ในแอปริคอท ยังทำลดการเกิดออกซิเดชันระหว่างไขมันกับสารอนุมูลอิสระอีกด้วย ฉะนั้นถ้าไม่รู้จะรับประทานอะไรเป็นอาหารว่างระหว่างวัน ก็ลองรับประทานแอปริคอทกับอัลมอนด์อบดูนะจ๊ะ

 

 

 

 

 

 

โยเกิร์ต + บลูเบอร์รี : เสริมความแข็งแรง

 

       15 นาทีหลังจากการออกกำลังกายจนเหงื่อโชก นักโภชนาการแนะนำให้กินโยเกิร์ตผสมบลูเบอร์รี 1 ช้อนโต๊ะเลย เพราะผลการวิจัยได้เผยว่า บลูเบอร์รีมีสารที่เป็นประโยชน์ต่อสมอง ทำให้เรามุ่งสมาธิไปกับการออกกำลังกายได้มากขึ้น ส่วนโยเกิร์ตรสธรรมชาติก็อุดมไปด้วยโปรตีน ที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง แต่ถ้าไม่ได้รับโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอ หลังออกกำลังกายร่างกายก็จะผลิตไกลโคเจนออกมาที่กล้ามเนื้อ เป็นเหตุให้เกิดความเมื่อยล้าตามมา อีกทั้งโปรตีนในโยเกิร์ต ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีพลังงาน ความอึด และความอดทนกับการออกกำลังกายได้นานขึ้นอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ + มะเขือเทศ : ป้องกันโรค

 

       มะเขือเทศเป็นราชาผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารแคโรทีนอยด์ถึง 4 ชนิด คือ อัลฟาแคโรทีน, เบต้าแคโรทีน, ลูทีน

และไลโคปีน แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอีก 3 อย่างได้แก่ เบต้าแคโรทีน, วิตามินอี และวิตามินซี ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสารที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดอุดตันได้อย่างดี แต่ถ้าอยากจะให้ร่างกายได้รับคุณประโยชน์จากสารเหล่านี้อย่างเต็มที่ ก็ควรกินน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ร่วมด้วย เนื่องจากน้ำมันมะกอกมีไขมันอิ่มตัวชนิดดี ที่สามารถช่วยชะลอการย่อยอาหาร ทำให้สารอาหารจากมะเขือเทศไหลเวียนอยู่ในร่างกายได้ดีขึ้น ร่างกายก็จะดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ในมะเขือเทศเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้นนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

ข้าวโอ๊ต + สตรอว์เบอร์รี : เสริมความแข็งแรงของหัวใจ

 

       ข้าวโอ๊ตมีสารเคมีจากพืชที่สำคัญ 2 อย่างอยู่ด้วยกัน นั่นก็คือ อะเวนานทราไมด์ (Avenanthramides) และกรดฟีนอล สารเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากผลการวิจัยแล้วว่า เป็นสารที่สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ และด้วยวิตามินซีในสตรอว์เบอร์รีก็สามารถลดคอเลสเตอรอล แถมยังช่วยป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอลมาเกาะจับเส้นเลือด และอุดตันเส้นเลือดจนเลือดสูบเข้าสู่หัวใจได้ยากอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

ชินนาม่อน + ขนมปังโฮลเกรนปิ้ง : ให้พลังงานสูงแต่ไม่อ้วน

 

       เมนูขนมปังโฮลเกรนปิ้งโรยผงชินนาม่อน จะช่วยคงระดับน้ำตาลในเลือดของร่างกายให้เป็นปกติ ไม่ต่ำเกินจนรู้สึกหิวโหย หรือสูงเกินไปจนเป็นอันตราย ซึ่งเหมาะมากกับคนที่อยากจะลดน้ำหนัก หรือกำลังควบคุมอาหารอยู่ นอกจากนี้ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสารโภชนาการของอเมริกายังเผยว่า ชินนาม่อน หรืออบเชยยังช่วยชะลอการย่อยอาหาร และเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร ทำให้เรารู้สึกอิ่มได้นานขึ้นกว่าเดิมด้วยค่ะ

 

 

 

 

 

 

กระเทียม + หอมใหญ่ : ดูแลตั้งหัวจรดเท้า

 

       ทั้งหอมและกระเทียมมีสารสำคัญต่อระบบการหมุนเวียนโลหิต สามารถช่วยให้หลอดเลือดสูบฉีดเลือดได้ดี นอกจากนี้ยังถือเป็นสมุนไพรช่วยล้างสารพิษในร่างกาย อีกทั้งยังมีฤิทธิ์กำจัดสารก่อมะเร็ง และยับยั้งเซลล์มะเร็งในร่างกายไม่ให้เจริญเติบโตได้ทุกส่วน ฉะนั้นเมื่อคุณทานหอมและกระเทียมพร้อมกัน ก็เท่ากับว่าช่วยส่งเสริมให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ยับยั้งโรคมะเร็ง และบำรุงร่างกายให้แข็งแรงเป็น 2 เท่าเลยทีเดียว

 

       แค่เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงได้แล้ว แต่ถ้าเราสามารถกินอาหารที่จับคู่กันแล้วจะช่วยส่งเสริมให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่แบบนี้ ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงยิ่งๆ ขึ้นไป ปัญหาสุขภาพหน้าไหนก็ไม่กล้ามากวนใจแน่ๆ ค่ะ

 

 

 

 

Credit : เรียบเรียงข้อมูลและรูปภาพ โดย กระปุกดอทคอม

 4356
ผู้เข้าชม

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์