เบต้าแคโรทีนอัดเม็ด

เบต้าแคโรทีนอัดเม็ด

 

เบต้าแคโรทีนอัดเม็ด

 

 

 

       เบต้าแคโรทีนอัดเม็ด นอกจากจะไม่สามารถต่อต้าน หรือรักษาโรคมะเร็งได้แล้วยังให้ผู้บริโภคเสียชีวิตมากขึ้นอีกด้วย

 

       มีงานวิจัยมากมายในหลายประเทศค้นพบว่า คนที่รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูง จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งน้อยลง เช่น มะเร็งปอด กระเพาะ ลำไส้ ฯลฯ โดยเฉพาะสาร เบต้าแคโรทีน ถือเป็นพระเอกอย่างแท้จริง เพราะเมื่อผลงานทางการแพทย์ของ ดร.ริชาร์ด เชเคลล์ นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ที่ว่า อาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสามารถลดอุบัติการโรคมะเร็งในปอดได้แม้แต่ในผู้ที่สูบบุหรี่หลายปีแล้วก็ตาม

 

       จุดนี้เองที่ทำให้ บริษัทยาและอาหารเสริมพากันผลิตเบต้าแคโรทีนชนิดเม็ดออกวางขายในท้องตลาดอย่างล้นหลาม ต่อมาสหรัฐอเมริกาจึงได้ทุ่มงบประมาณหลายพันล้านบาทเพื่อวิจัยว่า เบต้าแคโรทีนชนิดเม็ดสังเคราะห์มีคุณค่าจริงแท้ประการใด ผลงานวิจัยที่พอสรุปได้ทั้งสามชิ้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์เกิดคำถามในใจมากมาย เพราะนอกจากจะไม่สามารถต่อต้าน หรือรักษาโรคมะเร็งได้แล้วยังให้ผู้บริโภคเสียชีวิตมากขึ้นอีกด้วย

 

       ส่วนในประเทศไทยก็มีรายงานตรงกันเกี่ยวกับเบต้าแคโรทีนอัดเม็ดว่าอันตราย โดย ดร. เอมอร วสันตวิสุทธิ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เบต้า-แคโรทีนที่สกัดเป็นเม็ด หรือทำสำเร็จรูปมานั้น ถ้ารับประทานมากไปก็จะให้โทษต่อร่างกายได้ มีการศึกษาในผู้ที่สูบบุหรี่จัด หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอดพบว่า ในการรับประทานยาเม็ดเบต้า-แคโรทีนปริมาณสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน (20-30 mg/วัน เป็นเวลา 4-6 ปี) แทนที่จะเข้าไปช่วยลดการเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปอด กลับกลายเป็นการเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งปอดมากขึ้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดควรรับประทานเบต้าแคโรทีนจากแหล่งธรรมชาติเท่านั้น

 

       เบต้าแคโรทีน พบมากในผัก และผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง หรือแดง เพราะเบต้าแคโรทีน คือ ตัวการทำให้พืชผักและผลไม้มีสีสันดังกล่าว เช่น แครอท ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียว เช่น บรอคโคลี มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม ผักคะน้า ผักตำลึง

 

 

 

 

Credit : inmu.mahidol.ac.th, siamdara.com, campus.sanook.com, รูปจาก healthinessbox.com

 1964
ผู้เข้าชม

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์